วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

ทฤษฎีทางภาษา



ความหมายของภาษา

ภาษาเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือช่วยทำให้มนุษย์ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นนามธรรมต่อกัน เช่นในแง่ภาษาศาสตร์ ภาษา หมายถึง ภาษาที่ใช้พูดเพื่อสื่อความหมายในชุมชนหนึ่ง ๆ ในด้านจิตวิทยา ภาษา หมายถึง ความสามารถในการติดต่อสื่อความหมาย หรือ เพื่อแสดงความรู้สึก และ ความคิด ภาษาจึงหมายถึงการพูด การเขียน ทำท่าทางประกอบการแสดงสีหน้า และการใช้ภาษาใบ้เป็นต้น ประเทิน มหาขันธ์ กล่าวว่า ภาษาเป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นแทนความคิด เพื่อใช้สื่อความหมายทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
บุญยงค์ เกศเทศ กล่าวว่า ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ดำเนินชีวิตในสังคม


ความสำคัญของภาษา
กาญจนา นาคสกุล กล่าวว่า ภาษาเป็นหัวใจของมนุษย์ เพราะถ้าปราศจากภาษา มนุษย์ย่อมไม่ต่างจากสัตว์ เนื่องจากภาษาเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ที่สัมพันธ์กับความคิด และการสร้างสรรค์ในสังคมมนุษย์ เป็นเครื่องมือที่ทำให้สังคมมนุษย์เจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันและภาษาเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในกระบวนการพัฒนาคน เพราะเป็นปัจจัยหลักที่เกื้อกูลให้เกิดปัจจัยอื่น ๆ
นักทฤษฏีพัฒนาการได้ศึกษาความสำคัญของภาษาที่ว่า เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสังคมและสติปัญญาของเด็กปฐมวัย ดวงเดือน ศาสตรภัทร กล่าวว่า ภาษามีความสำคัญ 3 ประการได้แก่
1.เด็กสามารถจะใช้ภาษาเพื่อการติดต่อสื่อสารกับ บุคคลอื่นและเปิดโอกาสให้เกิดกระบวนการทางสังคมขึ้น

2. เด็กสามารถใช้ภาษาเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นภายในจากรูปแบบของการคิดโดยระบบของการใช้สัญลักษณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาการทางภาษาในระดับต่อไป

3. ภาษาเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายในตัวเด็ก ดังนั้นเด็กจึงไม่ต้องอาศัยการจัดกระทำกับวัตถุจริง ๆ เพื่อแก้ปัญหา เด็กสามารถสร้างจินตนาการถึงแม้นวัตถุนั้นจะอยู่นอกสายตาหรือเคยพบมาแล้ว เด็กสามารถทำการทดลองในสมองและทำการได้เร็วกว่าการจัดกระทำกับวัตถุนั้นจริง ๆ
จะเห็นได้ว่า ภาษามีความสำคัญต่อกระบวนการพัฒนามนุษย์เนื่องจากเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น ทำให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทางสติปัญญาและการพัฒนาทางสังคม

ทฤษฏีพัฒนาการทางภาษา (theories of language development )
1. ทฤษฏีความพึงพอใจแห่งตน ( the autism theory หรือ autistic ) ทฤษฏีนี้ถือว่าเป็นการเรียนรู้การพูดของเด็กเกิดจากการเรียนเสียงอันเนื่องมาจากการพึงพอใจที่จะได้ทำเช่นนั้น โมว์เรอร์ ( mowrer ) เชื่อว่าความสามารถในการฟังและความเพลิดเพลินจากการได้ยินเสียงของผู้อื่นและเสียงของตนเองเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาการทางภาษา

2. ทฤษฏีการเลียนแบบ ( the lmitation theory) เลวิส ( lewis ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการเลียนแบบในการพํฒนาภาษาอย่างละเอียด ทฤษฏีนี้เชื่อว่าพัฒนาการทางภาษานั้นเกิดจากการเลียนแบบซึ่งอาจเกิดจากการมองเห็นหรือการได้ยินเสียง

3. ทฤษฏีเสริมแรง ( reinforcement theory ) ทฤษฏีนี้อาศัยจากหลักทฤษฏีการเรียนรู้ซึ่งถือว่าพฤติกรรมทั้งหลายถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยการวางเงื่อนไข ไรน์โกลต์ ( rhiengold ) และคณะศึกษาพบว่า เด็กจะพูดมากขึ้นเมื่อได้รับรางวัล หรือได้รับการเสริมแรง

4. ทฤษฏีการรับรู้( motor theory of perception) ลิบูอร์แมน ( liberman) ตั้งสมมุติฐานไว้ว่าการรับรู้ทางการฟังขึ้นอยู่กับการเปล่งเสียง จึงเห็นได้ว่าเด็กมักจ้องหน้าเวลาเรา พูดด้วยการทำเช่นนี้อาจเป็นเพราะเด็กฟังและพูดซ้ำกับตนเอง หรือหัดเปล่งเสียงโดยอาศัยการอ่านริมฝีปากแล้วจึงเรียนรู้คำ

5. ทฤษฏีความบังเอิญจากการเล่นเสียง (babble buck ) ซึ่ง ธอร์นไดค์ ( thorndike )เป็นผู้คิดโดยอธิบายว่าเมื่อเด็กกำลังเล่นเสียงอยู่นั้น เผอิญมีบางเสียงไปคล้ายกับ เสียงที่มีความหมายในภาษาพูดของพ่อแม่ พ่อแม่จึงให้การเสริมแรงทันที ด้วยวิธีนี้จึงทำให้เด็กเกิดพัฒนาการทางภาษา

6. ทฤษฏีชีววิทยา ( biological theory ) เลนเนเบอร์ก ( lenneberg ) เชื่อว่าพัฒนาการทางภาษานั้นมีพื้นฐานทางชีววิทยาเป็นสำคัญ กระบวนการที่คนพูดได้ขึ้นอยู่กับอวัยวะในการเปล่งเสียง เด็กจะเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้และพูดได้ตามลำดับ

7. ทฤษฏีการให้รางวัลของแม่( mother reward theory ) ดอลลาร์ด (
Dollard ) และ มิลเลอร์( miller ) เป็นผู้คิดทฤษฏีนี้โดยย้ำเกี่ยวกับบทบาทของแม่ของเด็ในการพํฒนาภาษาของเด็กว่าภาษาที่แม่ใช้ในการเลี้ยงดูเพื่อสนองความต้องการของลูกนั้นเป็นอิทธิพลที่ทำให้เกิดภาษาพูดแก่ลูก จากการศึกษาทฤษฏีและกระบวนการเรียนภาษดังกล่าว จะได้ว่าพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยจะต้องผ่านกระบวนการพัฒนาการเป็นขั้นตอน เด็กจะเรียนรู้ภาษาจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวในลักษณะที่เลียนแบบหรือลองผิดถูก การเร้าและการได้รับแรงเสริมจากคนใกล้ชิดจะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษา ได้ดียิ่งขึ้น


ขั้นตอนพัฒนาการทางการศึกษา
โลแกน และ โลแกน ได้แบ่งพัฒนาการทางการภาษาออกเป็น 7 ขั้นดังนี้
1. ระยะเปะปะ ( stage หรือ preinguisic) อายุแรกเกิดถึง 6 เดือน ในระยะนี้เป็นระยะที่เด็กนี้เป็นระยะที่เด็กจะเปล่งเสียงดัง ๆ ที่ยังไม่มีความหมาย การเปล่งเสียงของเด็กก็เพื่อบอกความต้องการของเขา และเมื่อได้การตอบสนองเขาจะรู้สึกพอใจ

2. ระยะแยกแยะ ( jergon stage ) อายุ 6 เดือน ถึง 1 ปี เด็กจะสามารถแยกแยะเสียงต่าง ๆ ที่เขาได้ยินและเด็กจะรู้สึกพอใจที่จะได้ส่งเสียงและถ้าเสียงใดที่เขาเปล่งได้รับการตอบสนองในทางบวก เขาก็จะเปล่งเสียงนั้นซ้ำอีกในบางครั้งเด็กจะเลียนเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่มีคนคุยกับเขา

3. ระยะเลียนแบบ ( lmitation stage ) อายุ 1 – 2 ขวบ ในระยะนี้เด็กจะเริ่มเลียนเสียงต่าง ๆ ที่เขาได้ยิน เช่น เสียงของพ่อแม่ ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด เสียงที่เปล่งออกมาอย่างไม่มีความหมายจะค่อย ๆ หายไปและเด็กจะเริ่มรับฟังเสียงที่ได้รับการตอบสนองซึ่งนับว่าพัฒนาการทางภาษาจะเริ่มต้นอย่างแท้จริงที่ระยะนี้

4. ระยะขยาย ( the stage of expansion ) อายุ 2-4 ขวบ ในระยะนี้เด็กจะหัดพูดโดยจะเริ่มจากการหัดเรียกชื่อ คน สัตว์ และสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัว เขาจะเริ่มเข้าใจถึงการใช้สัญลักษณ์ ในการสื่อความหมาย ซึ่งเป็นการสื่อความหมายในโลกของผู้ใหญ่ การพูดของเด็กใน
ระยะแรก ๆ จะเป็นการออกเสียงคำนามต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง นก แมว หมา ฯ ลฯ และคำคุณศัพท์ต่าง ๆ ที่เขาเห็น รู้สึกและได้ยิน ซึ่งในวัยต่าง ๆ เขาจะสามารถพูดได้ดังนี้
- อายุ 2 ขวบ เด็กจะเริ่มพูดเป็นคำโดยจะสามารถใช้คำนามได้ 20 %
- อายุ 3 ขวบ เด็กจะเริ่มพูดเป็นประโยคได้
- อายุ 4 ขวบ เด็กจะเริ่มใช้คำศัพท์ต่าง ๆ และรู้จักการใช้คำเติมหน้า และลงท้ายอย่างที่ผู้ใหญ่ใช้กัน

5. ระยะโครงสร้าง ( structure stage ) อายุ 4-5 ขวบ ระยะนี้เด็กจะเริ่มพัฒนาความสามารถในการรับรู้และการสังเกต เด็กจะเริ่มเล่นสนุกกับคำและประโยคของตนเองโดยอาศัยการผูกจากคำวลี และประโยคที่เขาได้ยินคนอื่น ๆ พูด เด็กจะเริ่มคิดกฎเกณฑ์ในการประสมคำ และหาความหมายของคำและวลี โดยเด็กจะเริ่มรู้สึกสนุกกับการเปล่งเสียง โดยเขาจะเล่นเป็นเกมกับเพื่อน ๆ หรือสมาชิกในครอบครัว


6. ระยะตอบสนอง ( responding stage ) อายุ 5-6 ขวบ ในระยะนี้ ความสามารถในการคิดและพัฒนาการทางภาษาของเด็กจะสูงขึ้น เขาจะเรื่มพัฒนาภาษาไปสู่ภาษาที่เป็นแบบแผนมากขึ้น และใช้ภาษาเหล่านั้นกับสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวการพัฒนาทางภาษาของเด็กในวัยนี้จะเริ่มต้นเมื่อเขาเข้าเรียนในชั้นอนุบาล โดยเด็กจะเริ่มใช้ไวยากรณ์อย่างง่าย ๆ ได้ รู้จักใช้คำที่เกี่ยงข้องกับบ้านและโรงเรียน ภาษาที่เด็กใช้ในการสื่อความหมายในระยะนี้จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่เขามองเห็นและรับรู้

7. ระยะสร้างสรรค์ ( creative stage ) อายุ 6 ปีขึ้นไปในระยะนี้ได้แก่ ระยะที่เด็กเริ่มเข้าโรงเรียน เด็กจะเล่นสนุกกับคำ และหาวิธีสื่อความหมายด้วยตัวเลข เด็กในระยะนี้จะพัฒนาวิเคราะห์และสร้างสรรค์ ทักษะในการสื่อความหมายโดยใช้ถ้อยคำ สำนวนการเปรียบเทียบและภาษาที่พูดที่เป็นนามธรรมมากขึ้น และเขาจะรู้สึกสนุกกับการแสดงความคิดเห็นโดยการพูดและการเขียน
ราศรี ทองสวัสดิ์ กล่าวว่า ภาษาของเด็กประกอบด้วย 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน ตามลำดับ ทักษะทางภาษามีความเกี่ยงข้องกับเด็กดังนี้
- การฟังเป็นทักษะพื้นฐานที่มีผลต่อการพูด อ่าน และเขียน จากการศึกษาของแพทย์พบว่าเด็กฟังเป็นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาการฟังจึงมีความสำคัญต่อเด็ก เด็กที่อยู่ท่ามกลางความอบอุ่นมีคนพูดคุยอยู่ด้วยเสมอ ๆ การฟังจะพัฒนาขึ้น
- การพูด เด็กเล็ก ๆ จะฟังคนอื่นพูดก่อนแล้วจึงเรียนรู้ที่จะออกเสียงการพูดของเด็กจะเป็นไปตามขั้นตอนของพัฒนาการโดยเด็กจะพูดได้น้อยคำ แล้วจึงค่อย ๆ พูดได้มากขึ้น ๆ ตามลำดับ จนกระทั่งสามารถเล่าเรื่องราวหรือสนทนาโต้ตอบกับผู้อื่น
- การอ่านจะมีประโยชน์ต่อเด็กเมื่อเด็กอ่านแล้วเข้าใจ ก่อนที่เด็กจะอ่านหนังสือได้นั้นเด็กควรมีพื้นฐานที่จำเป็นต่อการอ่าน ได้แก่ ความสนใจการอ่าน สามารถจำรูปของคำและเสียงได้ รู้ความหมายของคำ ตลอดจนฝึกพูดเป็นประโยคได้ มองเห็นความเหมือน ความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนพยัญชนะ และเสียง รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับสัญลักษณ์ ทราบว่าคำไหนหมายถึงสิ่งใดและสิ่งที่ควรคำนึง คือ สิ่งที่เด็กอ่าน ควรมีความหมายต่อเด็ก และการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อการอ่าน ดังนั้นการสอนอ่านแก่เด็กควรเป็นไปตามขั้นตอน การอ่านหากทำได้ดีจะมีผลต่อการเขียนด้วย


- การเขียน ความสามารถในการเขียนจะเป็นไปตามพัฒนาการในวัยนั้น การให้เด็กเขียนควรจะต้องเป็นไปตามระดับความสามารถในวัยนั้น ๆ เช่น
อายุ 1 - 1 1/2 ขวบ เด็กจะสามารถกำสิ่งที่เป็นแท่งขีดเขียนได้แต่ไม่เป็นรูปร่าง
อายุ 1 1/2 - 2 ขวบ ขีดเขียนเป็นเส้นยุ่ง ๆ ได้
อายุ 2 - 3 ขวบ ขีดเป็นวง ๆ ได้แต่ไม่สมบูรณ์
อายุ 3 - 4 ขวบ ขีดกากบาทและสี่เหลี่ยมตามแบบได้
อายุ 4 - 5 ขวบ วาดรูปคนมีอวัยวะ 3- 4 ส่วนได้
อายุ 5 - 6 ขวบวาดรูปคนโดยมีส่วนสำคัญ 6 ส่วนได้ และวาดรูปสามเหลี่ยม ขนมเปียกปูนที่มีมุมแหลมอยู่ในแนวตั้งได้


มาถึงขั้นนี้เด็กจะมีความพร้อมที่จะเขียนหนังสือได้ ซึ่งแสดงว่าเด็กมีคุณสมบัติในการใช้มือหรือกล้ามเนื้อเล็กขีดเขียนไปในทิศทางที่ต้องการ ตาสามารถมองเห็นความเหมือน ความแตกต่าง ของสิ่งต่าง ๆ มือและตาทำงาน สัมพันธ์กันได้และมีความจำดี เมื่อเด็กมีความพร้อมก็จะเขียนหนังสือด้วยใจ ไม่ต้องถูกบังคับ ขู่เข็ญ เด็กจะเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียนหนังสือไปด้วย จะเห็นได้ว่า พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน ภาษาของเด็กจะพัฒนาได้ดี จากการมีปฏิสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อม และได้รับแรงเสริมทางบวกจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการใช้ภาษาและการมีปฏิสัมพันธ์ต่อเด็กอย่างสม่ำเสมอ เช่นการอ่านหนังสือให้เด็กฟัง การสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ การแสดงบทบาทสมมติ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้การพัฒนาทางภาษาของเด็กเจริญงอกงามไปได้ด้วยดี

อ้างอิง


- วิไลวรรณ เกื้อทาน : ผลของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติในมุมหนังสือที่มีต่อความเชื่อมั่นในตนของเด็กปฐมวัย ที่มาจากโรงเรียนในเขตเทศบาล และ นอกเขตเทศบาล . ปริญญานิพนธ์ กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒประสานมิตร



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น